วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สุขสันต์วันคริสต์มาส


......................ขอขอบพระคุณ Zwani.com เป็นอย่างยิ่ง..................
.........................ที่มีภาพสวย ๆ ให้เราทุกเทศกาล.......................

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ธรรมใดจะไร้ค่าถ้าไม่ทำ

เมื่อกี๊ตอนตีสี่ห้าสิบนาทีได้ยินจากทีวีช่อง 9

รายการไกด์ธรรมนำทาง

"ธรรมใดจะไร้ค่าถ้าไม่ทำ"

นี่แหละ...ใช่เลย

(หมายเหตุ อย่างงกับเวลาข้างล่าง
เพราะไม่รู้จะตั้งอย่างไรให้ตรงกับเวลาจริง
ใครรู้ก็บอกกันบ้างนะ)

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ขอสมเด็จพระพี่นางทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย



และฟังเพลง "ส่งนางฟ้ากลับสวรรค์"
ที่เว็บ http://feelfree.exteen.com/20080916/bird

ถึงเวลาส่งนางฟ้ากลับสวรรค์
ที่แห่งนั้นงามดังฝันคู่ควรเทพธิดา
สู่สวรรค์ สู่ยังวิมานที่ปลายขอบฟ้า
ก้มกราบอำลา ด้วยน้ำตาอาลัย

ท่านลงมาจากบนฟ้าจากสวรรค์
เติมความฝัน ต่อชีวิตผู้คนทั้งใกล้ไกล
สุดเหนื่อยล้า อุทิศชีวา เพื่อคนที่ยากไร้
เป็นภาพในใจ ไม่ลืมทุกอย่างที่ท่านทำ

จากวันนี้ กลับสู่ฟ้าดังเดิม
และคงไม่มีภาพเดิม ที่เคยได้เห็นได้จำ
ไม่มีอีกแล้ว นางฟ้าองค์เดิม ท่องดินและถิ่นน้ำ
แต่ภาพทรงจำ ไม่มีวันเลือนลบหายไป

ถึงเวลาส่งนางฟ้ากลับสวรรค์
ที่แห่งนั้น งามดังฝันและดูสุดแสนไกล
ยามคิดถึง ให้คิดทำดี ร่วมมีร่วมจุดหมาย
นางฟ้าไกลไกล ท่านคงยังอยู่ข้างข้างเรา

นางฟ้าองค์เดิม ท่านคงยังอยู่ข้างข้างเรา
ขอขอบพระคุณเจ้าของเว็บข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สุขสันต์วันลอยกระทง


....................มีงานลอยกระทงตามวัดต่างๆหลายจุด..................

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ลังเล

วันนี้เป็นวันเสาร์ วันที่ควรได้พักผ่อนแต่บางท่านอาจจะอยู่ในภาวะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว ก็เลยอยากฝากบทความสั้น ๆ ต่อไปนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ

...ลังเล...
จากหนังสือ "เต๋ากับการบริหาร"
Bob Massing เขียน
เจษฎา อ่ำแก้ว เรียบเรียง

...ผู้บริหารอย่าลังเล ท่ามกลางภาวะวิกฤตที่การบริหารจะก้าวหน้านั้นมันยากยิ่ง ในการบริหารที่จะต้องเกิดภาวะวิกฤตขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านไหน
...ผู้บริหารจะต้องควบคุมภาวะวิกฤตด้วยความสุขุมและทำอย่างเงียบ ๆ การแก้ไขอย่างเงียบ ๆ และควบคุมอย่างจริงจังเป็นหลักของ "เต๋า"
...ผู้บริหารโปรดระมัดระวัง การลังเลจะกลายเป็นการอ่อนแอ ควรมองหาวิธีการที่สามารถทำให้องค์กรรอดพ้นภาวะวิกฤต ด้วยความรอบรู้และการใช้ปัญญา

ขอขอบพระคุณผู้เขียนและผู้เรียบเรียง สำหรับความรู้ที่เป็นประโยชน์



วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

ธรรมะกับการเมือง

เพื่อให้ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์
จีงขออนุญาตคัดเรื่อง "ธรรมะกับการเมือง"
ซึ่งอยู่ในหน้า 209 - 221
จากหนังสือ "คมธรรมท่านพุทธทาส"
คัดเลือกรวบรวมโดย " คุณไพโรจน์ อยู่มณเฑียร"
ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2537


ธรรมะ กับ การเมือง
เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้
แยกกันเมื่อไร
การเมืองก็กลายเป็นเรื่องทำลายโลกขึ้นมาทันที

เมื่อกล่าวโดยปรัชญาทางศีลธรรม
การเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์
ที่เขาจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้อง
ตามกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด
เพื่อผลคือการอยู่กันเป็นผาสุก
โดยไม่ต้องใช้อาชญา
แต่เมื่อไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรมกันเสียแล้ว
การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรก
สำหรับหลอกลวงกัน อย่างไม่มีขอบเขต
จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย
มีแต่สัตว์การเมือง ที่เป็นสัตว์เอาเสียจริง ๆ
กล่าวคือ บูชาเรื่อง กิน-กาม-เกียรติ แทนสันติสุข

การเมืองที่แท้จริงสำหรับมนุษย์
ต้องตั้งรากฐานอยู่บนรากฐานทางศาสนา
ของทุกศาสนาที่มีอยู่ว่า
"สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น"
นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะข้อนี้อยู่ในใจ
ย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า
การเคลื่อนไหวของเขาทุกกระเบียดนิ้ว
มีแต่กุศล
จนกระทั่งกลายเป็นปูชนียบุคคลไป

เกิดมาแล้วต้องไม่เสียชาติเกิด
คือเกิดมาในโลกนี้แล้ว
ต้องมีส่วนที่จะทำให้โลกนี้มีสันติสุข สันติภาพ

พุทธบริษัทเรา ถ้าตกไปในความงมงายเท่าไร
ก็สูญเสียอิสรภาพทางสติปัญญาเท่านั้น
ความงมงายนี้มีหลายสิบ หลายร้อย รูปแบบหรือชนิด
ไปดูเอาเองอย่าต้องออกชื่อ มันกระทบกระเทือน

เราเป็นคนคนหนึ่งในโลก
ก็ต้องรับรู้ปัญหาต่าง ๆ ของโลก
เพราะว่าถ้าปัญหามันเกิดขึ้นในโลก
แล้วมันก็ต้องถึงเราด้วย

การเมืองที่ปราศจากธรรม
ตั้งต้นจากการขยายตัวของกิเลส

อย่าลืมธรรมชาติ
พยายามที่จะใกล้ชิดธรรมชาติไว้ในโลกให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้


วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วันแม่แห่งชาติ

ขอเชิญร่วมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
เนื่องในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2551
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
(ภาพสีน้ำมันของคุณ TE มือปั่น ขยันโพส ที่ http://www.visualizer-club.com/)
ขอขอบคุณเจ้าของภาพและเว็บดังกล่าวข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

วันวิสาขบูชา

วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา (วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖)
อยากจะถ่ายภาพพระจันทร์เต็มดวง...มาประกอบเรื่องนี้
แต่ไม่มีโอกาสเลยเพราะฝนตกฟ้าครึ้ม...มองไม่เห็นพระจันทร์สักนิด

สำหรับเรื่อง "วันวิสาขบูชา"มีท่านผู้รู้เขียนไว้เยอะแล้ว
เลยรวบรวมเว็บมาให้ คลิกอ่านกันเองนะ
http://www.culture.go.th/k_day.php?F=visaka&FF=visaka
http://www.dopa.go.th/Wisa/wisa.htm
http://www.dhammathai.org/day/visaka.php
http://www.banfun.com/buddha/visaka.html
http://www.rayongzone.com/links/visa/
http://www.phutti.net/visaka/index.html
http://www.watkoh.com/data/ssn_phitee/visakha.php
http://www.geocities.com/sakyaputto/wisakhaday.htm
http://www.watbencha.com/visakha.html
อื่น ๆ อีกมากมาย



วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

การให้อภัย

จากหนังสือ "อภัยทาน รักบริสุทธิ์"
ในหน้า "อนุโมทนาบุญ"
ของ ปิยโสภณ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
ผู้ออกแบบปก/รูปเล่ม ผู้ช่วยศาสตราจารย์นำชัย เต็มศิริเกียรติ


การให้อภัย คือการชำระสนิมใจขั้นละเอียด
ผู้ให้อภัยศัตรูได้ ศัตรูก็หมดคู่ต่อสู้บนเวที
แม้วันนี้เขายังไม่ให้อภัยเรา
แต่เขาก้เริ่มชกลมคนเดียวบนเวทีทะเลาะ
โดยไม่มีเราเป็นคู่ต่อสู้ นานเข้าเขาก็หมดแรงไปเอง

การให้อภัย แม้จะเป็นเรื่องยาก
แต่ถ้าเราทำเป็นประจำ หัดทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
จะเป็นของง่าย และเกิดขึ้นเองอย่างฉับพลัน
กระทั่งกลายเป็นสัญชาตญาณในการอภัย
หลายครั้งที่เราผูกโกรธ คนเจ็บคือเรา
เมื่อเราผูกอาฆาตพยาบาท ไฟอาฆาตเผาตัวเราเองอยู่ภายใน

การให้อภัย เป็นวิธีระงับความโกรธ เกลียด อาฆาต
พยาบาท ปองร้าย อิจฉาริษยา อย่างดีที่สุด
อารมณ์เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องอื่นไกลเลย
หากแต่เป็นไฟร้อน ไฟร้าย
ที่สุมขอนนอนนิ่งอยู่ในใจเรา

คิดว่าท่านผู้ประพันธ์และผู้พิมพ์เผยแพร่คงไม่ตำหนิติติง
ถ้าจะขออนุญาตเผยแพร่เนื้อหาอื่น ๆ ในหนังสือเล่มนี้ต่อไป
เพราะเห็นว่าอ่านแล้วสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้
ควรได้เผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ต่อ ๆ ไป
ในหนังสือพิมพ์ไว้ว่า
เผยแผ่เป็นธรรมทานโดย
โครงการหนังสือธรรมะ ธรรมทาน
คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ขอขอบพระคุณท่านผู้ประพันธ์และผู้พิมพ์เผยแพร่ไว้ ณ โอกาสนี้

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2551

ปรัชญานะเนี่ย

zwani.com myspace graphic comments
..................เมื่อไม่มี..................

.............. ก็ไม่สูญเสีย
...................

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551

การปรับตัว

เมื่อวานขับรถพาญาติพี่น้องไปตระเวนเล่นน้ำสงกรานต์ทั่วเมือง
ใช้เวลาอยู่ในท้องถนนประมาณ 5 ชั่วโมง
เห็นคนเล่นน้ำในช่วงขาไปก็มีความสุขกันดี
แต่พอขากลับก็ดูอ่อนระโหยโรยแรงกันไปแทบทั้งนั้น
สังเกตุจากคนในรถเราและรถคนอื่นก็เหมือน ๆ กัน
นอกจากนี้คนที่นั่งข้างในรถก็ยังอ่อนเพลียเหมือนกัน
เพราะอากาศร้อนจัด แต่ทุกคนก็มีความสุขดี
ฉะนั้น ถ้าใครยังไม่ได้มีโอกาสเล่นน้ำสงกรานต์
ก็น่าจะพยายามหาโอกาสออกไปเล่นให้ได้
เพราะอีกตั้งปีแน่ะกว่าจะเวียนมาใหม่
เกริ่นยาวขนาดนี้ไม่ใช่อะไรหรอก
จะบอกว่ารู้สึกเหนื่อย ก็เลยนอนเร็วเป็นพิเศษ
แต่ก่อนหลับก็ได้หยิบหนังสือมาอ่าน
เรื่อง "การปรับตัว" ในหนังสือ"มนุษย์"
ของ "คุณศิวโมกข์ ก้องญาณ"
เห็นว่าดี๊ดีจังเลย ก็ขออนุญาตคัดมาฝากอีกแล้ว
คงไม่ว่ากันนะ ถ้าจะคัดลอกเรื่องที่ดีมีคุณค่ามาให้อ่าน

.....การปรับตัว.....
การปรับตัวที่ถูกต้อง
คือการปรับตัวเข้าหากฎธรรมชาติ
การดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ
ย่อมราบรื่น เป็นสุข

การปรับตัวให้เข้าหาบุคคล
เป็นการทำลายธรรมชาติของตน
และสร้างภาระใหม่ให้ตัวเอง

ส่วนการปรับตัวเข้าหาสังคม
ขึ้นอยู่กับว่าสังคมนั้น
วิวัฒนาการใกล้สัจธรรมเพียงใด
ถ้าสังคมด้อยวิวัฒนาการ
ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเข้าหา
ควรให้สังคมนั้นปรับเข้าหาตน

บุคคลที่ยอมลดระดับความดีของตน
เข้าหาสังคมต่ำทราม
ชื่อว่าเป็นทาสสังคมประเภทหนึ่ง
ที่ยอมถูกจองจำธรรมชาติของตนเอง

ขอขอบพระคุณ "คุณศิวโมกข์ ก้องญาณ"
ที่กรุณาให้แนวคิดที่สร้างสรรค์

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551

ทำบุญ...วันสงกรานต์

สงกรานต์,water festival,รดน้ำดำหัว,กลิตเตอร์,แต่ง hi5

วันนี้ทำบุญวันสงกรานต์
ผู้คนเต็มวัด…อาหารเต็มศาลา
ทุกคนแย้มยิ้มอิ่มใจ
ในวันดี…วันสงกรานต์

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2551

ความเมตตาเป็นพื้นฐานแห่งคุณธรรมทั้งปวง

พรุ่งนี้เป็นวันพระ...เลยค้นคว้าเรื่องออกแนวธรรมะมาฝาก

..........ขงจื๊อ เป็นปราชญ์ของจีนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศาสดาเอกของโลก ชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าคำสอนของขงจื๊อทำให้คนจีนรู้จักการใช้ชีวิต รู้จักการปฏิบัติต่อครอบครัว และบรรพบุรุษ ตลอดจนการต่อสู้เพื่อการดำรงชีวิต ปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะมีความสุขไม่เสื่อมคลาย และจิตใจสงบ
..........ในหลักคำสอนของขงจื๊อ ถือว่า ความมีเมตตาเป็นที่มาหรือเป็นพื้นฐานแห่งคุณธรรมทั้งปวง ขงจื๊อ เน้นให้มนุษย์รู้จักสร้างชีวิตที่ดีงามตั้งแต่แรกเกิด ให้ชาวจีนยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม ให้ความเมตตากรุณาต่อทุกชีวิต และปลูกฝังให้เด็กหรือลูกหลานรักในความเป็นธรรม เห็นอกเห็นใจ พร้อมทั้งเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ เมื่อเด็กฝังใจในคุณธรรมแล้ว เขาเชื่อว่าผู้นั้นจะมีชีวิตที่ดีงามตลอดไป
..........ขงจื๊อมิได้สอนให้คนรู้จักเอาตัวรอดเพียงลำพัง แต่สอนให้ “เอาใจใส่และเป็นมิตรกับผู้อื่น เพราะมนุษย์จะบรรลุถึงความดีงาม โดยลำพังคนเดียวไม่ได้ เรายังต้องอาศัยสังคมจึงต้องช่วยกันสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น”
..........ขงจื๊อเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 72 ปี (พุทธศักราช 80) เขากล่าวในวาระสุดท้ายว่า “ขุนเขายังต้องพังทลาย ไม้ใหญ่ยังรู้จักหักโค่น คนก็ย่อมร่วงหล่นไปตามธรรมชาติ”
..........แม้ขงจื๊อจะตายนานนับพัน ๆ ปีแล้ว แต่ “คัมภีร์ขงจื๊อ” ยังคงเป็นที่ยอมรับนับถือสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

ที่มา หนังสือ คัมภีร์ขงจื๊อ ล.เสถียรสุต แปล



วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

จาก "รู้จักตัวเอง"

อ่านหนังสือ "เต๋าแต้มสี" ของคุณ "ละเอียด ศิลาน้อย" รู้สึกประทับใจหลายเรื่อง
หน้าปกบอกว่าเทคนิคง่าย ๆ ในการใช้ชีวิตที่พลิกแพลงแง่มุมอย่างแยบคาย
แต่งแต้มสีสันของชีวิตให้สดใสด้วยความคิดแบบเต๋า
เป็นหนังสือที่อ่านง่าย ลีลาการเขียนเพลิดเพลินน่าอ่าน
ชอบหลายเรื่องในหนังสือเล่มนี้ เรื่องหนึ่งคือ " รู้จักตัวเอง"
อ่านเพื่อสอนใจตนเองได้ดี ขออนุญาตคัดลอกบางตอนมาให้อ่าน

คำว่ารู้จักตัวเองคำนี้มีความหมายกว้างขวางมากจริง ๆ
ท่านพุทธทาสภิกขุ เขียนเป็นกลอนว่า

"จงรู้จักตัวเอง" คำนี้หมาย
ว่าค้นพบ แก้วได้ ในตัวท่าน
หานอกตัว ทำไม ให้ป่วยการ
ดอกบัวบาน อยู่ในเรา อย่าเขลาไป
ในดอกบัว มีมณี ที่เอกอุตม์
เพื่อมนุษย์ ค้นหา มาให้ได้
"การตรัสรู้ หรือรู้ สิ่งใด ๆ
ล้วนมาจาก ความรู้ ตัวสูเอง"

สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์หาได้ในกายนี้โดยมองลงไปที่ใจ
ให้เห็นสภาพเดิมของใจที่ปราศจากกิเลศ "ว่าง" เป็นพื้นฐาน
กิเลศ "วุ่น" จรมา เมื่อเกิดมีการกระทบระหว่างตากับรูป หูกับเสียง ฯลฯ
แล้วไม่มีสติกำหนดรู้ ว่ามันสักว่าธาตุกระทบกัน
ถ้าควบคุมทำใจได้ว่ากระทบก็สักว่ากระทบ
จิตก็จะว่าง แจ่มใสเบิกบานเสมอ
ตัวจริงของเราคือใจเดิมที่ว่าง หาให้เจอ ดูให้เห็น สัมผัสให้ได้
................................
เมื่อร่างกายเคลื่อนไหว ขยับตัว กะพริบตา อ้าปาก หันซ้าย ก้าวเดิน ฯลฯ
ให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายนั้น แล้วจะไม่พลัดเข้าไปหมกอยู่ในความคิด
จะเริ่มรู้จักความคิด เริ่มเห็นความคิด ซึ่งเป็นนักมายากลตัวก่อเรื่องก่อราว
แล้วจะพบกระแสแห่งธรรมในที่สุด
นั่นเป็นความหมายชั้นลึกของคำว่า "รู้จักตัวเอง"
อันสืบเนื่องมาจากการรู้จักและเห็นความคิดของตัวเอง
(ปกติผู้คนทั้งหลายคิดโดยไม่รู้ไม่เห็นความคิด
จึงถูกความคิดฉุดรั้ง/ผลักดันให้ทุรนทุรายทุกข์ระทม)
.................................

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2551

โกรธตอบดีไหม

ระยะนี้จะพบแต่คน...เครียด ๆ
อากาศเปลี่ยนแปลงมากไป...หรือไงก็ไม่รู้
โทษอากาศไว้ก่อน...ปลอดภัยดี
ไปตรงไหนเจอแต่คนหงุดหงิ๊ด...หงุดหงิด
พอดีได้รับแจกหนังสือ...(ชอบของฟรี)
ชื่อหนังสือ " อภัยทาน รักบริสุทธิ์ "
ผู้เขียน " ปิยโสภณ "
วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
เผยแผ่เป็นธรรมทานโดย
โครงการหนังสือธรรมะ ธรรมทาน
คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ซึ่งจัดพิมพ์หนังสือ...เพื่อการเผยแผ่ความดีระหว่างกัน
เพื่อให้โลกสงบสุขร่มเย็น...เป็นปกติ
โดยให้ทุกคนเริ่มต้นนับหนึ่ง...ที่ตัวเรา
ที่ปกหลังหนังสือมีข้อความดังนี้

บางที คนที่เขาโกรธเรา หากเราโกรธตอบก็จะเป็น
การตอบรับกระแสกันเหมือนการโทรศัพท์
ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดรับโทรศัพท์
ฝ่ายที่โทรถึงก็หมดสิทธิ์จะคุยกับเรา
เพราะกระแสไม่สามารถส่งถึงกันได้

การตอบรับซึ่งกันและกัน ถ้าเป็นความดี
เป็นความรัก ความอบอุ่นก็ดีไป
แต่ถ้าเป็นความเกลียด ความโกรธสิ่งที่จะตามมา
คือการรับรู้และเก็บอารมณ์ทั้งโกรธ
และเกลียดนั้นไว้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2551

สรรเสริญ - นินทา

วันนี้มีญาติมาบ่น เรื่องโดนคนอื่นนินทาให้ฟัง
ญาติบอกว่าไม่ค่อยสบายใจ เลยแนะนำไปอย่างนี้
สรรเสริญ - นินทา เป็นเหมือนฝาแฝดกันไปไหนมักไปคู่กัน
ไม่เคยมีใครในโลกนี้แม้สักคนเดียว ที่ได้รับแต่คำสรรเสริญ
และก็ไม่มีใครในโลกนี้แม้สักคนเดียว ที่ได้รับแต่คำนินทา
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะเบาใจ และจะทุกข์น้อย
ถ้าเราไม่ใส่ใจว่า ใครจะสรรเสริญหรือไม่
และไม่สนใจว่าใครจะนินทาอย่างไร
เราจะไม่ทุกข์ใจ ถ้าไม่มีคนสรรเสริญ
และจะไม่ดีใจจนเกินเหตุเมื่อมีคนสรรเสริญ
นอกจากนี้คนที่นินทาก็จะไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวได้
อีกหน่อยเขาก็เลิกไปเอง
เราควรคิดว่าเขาต้องมีปมด้อย
หรือไม่มั่นใจอะไรบางอย่างหรือหลายอย่าง
เขาจึงชอบนินทาคนอื่น
ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ
ถ้าเราไม่อยากให้คนอื่นนินทาเรา
เราก็อย่าไปนินทาคนอื่นละกัน

วันนี้มีเรื่อง"สรรเสริญ - นินทา"

ที่กระทัดรัดเข้าใจง่ายและเป็นของจริงทั้งสิ้น
คัดจากหนังสือ "มนุษย์"ของ "คุณศิวโมกข์ ก้องญาณ" มาฝากอีก

..........สรรเสริญ..........

สรรเสริญ
ย่อมเป็นที่ชื่นชมของผู้มีอัตตา
และเป็นที่นิยมของคนอ่อนแอ
แต่ย่อมไม่เป็นที่ใยดีของวิสุทธิชน
และไม่เป็นที่แยแสของผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง

หลักการมีอยู่ว่า
บุคคลที่ยังมีอัตตา
ไม่ควรได้รับการสรรเสริญ
เพราะการเยินยอทำให้หลงตน
อัตตาเติบโต
ความโง่แผ่คลุมมากขึ้น
ผู้ใดสรรเสริญผู้อื่นด้วยความกลัวเกรง
นับเป็นผู้ทำลายตัวเองด้วยใจเขลา
และทำร้ายผู้อื่นด้วยปัญญาเบา

เป็นความจริงอยู่ว่า
บุคคลใดแสวงหาการสรรเสริญ
ย่อมไม่ได้รับการสรรเสริญแท้จริง
บุคคลใดไม่ไยดีกับการสรรเสริญ
ย่อมได้รับการสรรเสริญที่แท้จริง

..........นินทา..........

ผู้นินทาคนอื่น
คือผู้ไม่พึงใจในตนเอง
ไม่มั่นใจในตนเอง

การนินทาคนอื่น
ทำให้เมตตาลดน้อยลง
ยิ่งเมตตาน้อยลงเพียงใด
จิตใจก็ห่อเหี่ยวมากเพียงนั้น
ยิ่งจิตใจห่อเหี่ยวมากเท่าใด
ชีวิตก็หมองเศร้ามากเท่านั้น

ยิ่งนินทาคนอื่นมากเท่าใด
ตัวผู้นินทาจะมีความระแวงมากเทียมนั้น
ไม่อาจคบหาผู้อื่นให้สนิทใจได้
และความผิดพลาดมากที่สุด
คือการไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นวิจารณ์ตนอย่างตรงไปตรงมา
จนทำให้เขาต้องนินทาลับหลัง
เกิดผลเสียต่อตนเอง
ด้วยเขาย่อมไม่จริงใจ
เกิดผลเสียต่อผู้นินทา
ด้วยเขาย่อมขลาดกลัวมากขึ้น
เป็นการทำลายตนเองและจิตใจผู้อื่นอย่างเร้นลึก


ในหนังสือ "มนุษย์" มีอีกมากมายหลายเรื่องที่น่าสนใจ
ถ้าเป็นไปได้น่าจะได้ซื้อไว้อ่านกันทั้งเล่ม
หน้าปกก็สวยดี
แต่ไม่แน่ใจว่ายังมีจำหน่ายอยู่ไหม
เพราะเล่มที่มีอยู่ก็ซื้อไว้นานแล้ว

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2551

เสรีภาพแห่งการให้อภัย

วันนี้รู้สึกอารมณ์บ่จอย...หงุดหงิดกับคำพูดบางคำของคนบางคน
ขนาดบอกว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีนะเนี่ย

บางครั้งที่มีคนใช้วจีกรรมทำให้เราไม่สบายใจ
จะพยายามใช้ทางพระเข้าข่ม...นึกไว้เสมอว่า
คนทุกคนในโลกนี้เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่วันนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ สงสัยเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงมาก
กลางคืนเย็นจัด กลางวันร้อนจัด (โทษอากาศไว้ก่อน)
พอได้ยินถ้อยคำที่มากระทบกระเทือนเรา
เห็นช้างเท่าหมูเลย...
รู้สึกทันทีว่าฮึ่ม... (แต่ไม่แฮ่)...ต้องโต้ตอบบ้าง
ก็พูดกลับไปนิดหน่อยพอประมาณ
พูดไปแล้วมาคิดทบทวนตัวเองตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองน่าเกลียดจังเลย
ทำไมไม่คุมสติตัวเองให้อยู่
กลับถึงบ้านเลยค้นหาหนังสืออ่านเตือนสติตัวเอง

ได้หนังสือชื่อ "เสรีภาพแห่งการให้อภัย"
The Freedom of Forgiveness
เขียนโดย เดวิด อ๊อกเบิร์กเกอร์ (David Augsburger)
แปลโดย มณฑาทิพย์ วัฒนวงศ์

อ่านอีกหนึ่งรอบ...เคยอ่านไปแล้วหลายรอบ
เพราะชอบน่ะซี...สอนใจตัวเองได้ดีมาก
ลองดูสักตอนสองตอนนะ


ทำไมฉันต้องให้อภัย
...พวกเราส่วนมากมักจะติดอยู่ที่จุดนี้ และถามว่า
"ทำไม ๆ ทำไม ถึงต้องให้อภัย?
...ทำไมคนที่ทำผิดด่อฉันไม่ต้องชดใช้ค่าความผิดของเขาก่อนเล่า?
.........................................................
...ถ้ามีการตัดสินความเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามธรรมชาติ
ก็หมายความว่าจะต้องมีใครสักคนเป็นผู้ชำระชดใช้
...การให้อภัยดูจะเป็นเรื่องง่ายเกินไป
ควรจะเป็นตาแทนตา โลหิตชดใช้ด้วยโลหิตมากกว่า
...ใช่ คุณอาจต้องการฟันแทนฟันในการตอบแทนหรือแก้แค้น
แต่จะเรียกร้องอะไรเป็นค่าชดใช้..........................
...แล้วการแก้แค้นล่ะ?
ถ้าคุณไม่อาจจะได้รับการชดใช้ที่เหมาะสมจากศัตรู
อย่างน้อยคุณก็อาจจะล้างแค้นได้
โดยการกระทำกลับต่อเขาเหมือนที่เขาได้กระทำต่อคุณ
...การกระทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าคุณได้กระทำตัวเอง
ให้ตกต่ำลงไปเท่าเทียมกับศัตรูของคุณ
มึคำกล่าวไว้ว่า "การทำร้ายจะทำให้คุณอยู่ต่ำกว่าศัตรูของคุณ
การผูกพยาบาทจะทำให้คุณเท่าเทียมกับศัตรูของคุณ
แต่การให้อภัยจะยกคุณขึ้นเหนือทั้งหมด"

การให้อภัย การลืมเลือนและการปล่อยให้ผ่านไป
นักศาสนศาสตร์ชื่อ แฟรงค์ สแต็ค ได้เขียนถึงการให้อภ้ยที่แท้จริง ดังนี้
...การให้อภัยและการลืมนั้นเกี่ยวข้องกัน
แต่การให้อภัยนั้นต้องมาก่อนการลืม
ในการให้อภัย ผู้นั้นจะต้องย้อนคิดถึงความเจ็บปวดความสะเทือนใจ
และการอยุติธรรมที่ได้กระทำไปแล้วก่อน
...ส่วนการลืมเป็นการละเลยไม่สนใจว่าฝ่ายตรงข้ามทำร้ายอะไรเรา
โดยการขับไล่ความรู้สึกที่ว่ามีผู้กระทำผิดต่อเรา..................
การลืมนั้นเป็นแง่ลบและเป็นการนิ่งเฉย
การให้อภัยเป็นแง่บวกและเป็นการสร้างสรรค์

ก่อนที่ผู้ใดจะสามารถให้อภัยและลืมได้
ผู้กระทำให้ขุ่นเคืองและผู้ถูกกระทำต้องรำลึกร่วมกัน
คิดถึงการกระทำผิดที่ได้กระทำไปร่วมกัน
จบสิ้นความรู้สึกนั้นร่วมกัน เสริมสร้างพันธมิตรใหม่ร่วมกัน
และลืมเลือนทุกสิ่งที่ผ่านมาด้วยกัน
การทบทวนความจำ การเสริมสร้างใหม่
การให้อภัยและการลืมล้วนแต่จะช่วยให้เราได้เพื่อนอีกคนหนึ่งกลับมา
..........................................................
การลืมเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการให้อภัยอย่างสมบูรณ์
การลืมไม่ใช่ขั้นตอนแรกของการให้อภัย
มันเป็นขั้นตอนสุดท้าย

นี่คือบางส่วนเท่านั้น...ถ้าสนใจลองหาอ่านนะ
มีคุณค่าทุกตัวอักษรเลย




วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2551

รักษาใจให้ดี...ในปีใหม่

ได้รับ ส.ค.ส.2551 จากเพื่อน
เป็นหนังสือชื่อ " ส.ค.ส. 2551 รักษาใจให้ดี ในปีใหม่ "
(ส.ค.ส. จากสองศรีพระศาสนา)
ปกหน้าเป็นภาพท่านปัญญานันทภิกขุ...ปกหลังเป็นภาพท่านพุทธทาสภิกขุ
ข้างในมีบทกลอนอวยพรปีใหม่และคำสอนของทั้ง 2 ท่าน
ขออนุญาตคัดบางตอนมาฝาก


คำ : พุทธทาสภิกขุ
อันชีวิต ผลิตขึ้นมา จากพระธรรม
ด้วยพระธรรม โดยพระธรรม นำวิถี
สุทธิ ปัญญา เมตตา และขันตี
ปีใหม่มี มากกว่าเก่า พวกเราเอย
..................................
คำ : พุทธทาสภิกขุ
ขออวยพร วอนอ้าง คุณพระพุทธ
ได้ปกป้อง ผองมนุษย์ โศกกษัย
ขออ้างคุณ พระธรรม อันอำไพ
ช่วยคุ้มสัตว์ ทั่วไป ไร้โรคา
ขออวยพร วอนอ้าง คุณพระสงฆ์
ช่วยธำรง สุขสันต์ กันทั่วหน้า
ข้าร่ำร้อง ลำนำ พร่ำภาวนา
ทั่วโลกา สิ้นทุกข์ ผาสุกเอย
..................................
คำสอนของท่านปัญญานันทภิกขุ
ขึ้นปีใหม่...มาร่วมใจประพฤติธรรมดังนี้กันเถิด
1. มีความเคารพธรรมยิ่งชีวิต
2. มีความรักเพื่อนมนุษย์ไม่จำกัด
3. อย่าทำตนให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ใคร ๆ
4. อย่ามัวเมาในวัตถุจนลืมคุณค่าทางจิตใจ
5. หมั่นตรวจสอบตนเองบ่อย ๆ
6. หมั่นแก้ไขตนเองให้ดีขึ้นทุกวินาที
7. สามัคคีดีกว่าความแตกแยก

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

การแก้ปัญหา-การกลบปัญหา

เรื่องนี้จากหนังสือ "มนุษย์" ของ คุณ"ศิวโมกข์ ก้องญาณ"

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เกิดมาแล้วไม่ดับไป
ไม่มีปัญหาใดที่เกิดแล้วแก้ไขไม่ได้

การแก้ปัญหา
ต้องหันหน้าเข้าหาปัญหา
ศึกษาที่มา ที่เป็น และที่ไปของปัญหา
แล้วตัดกระบวนการก่อปัญหา
และถอนรากเหง้าให้สิ้นไป

การหนีปัญหาที่เกิดขึ้น
โดยการสร้างอารมณ์ใหม่
หาใช่การแก้ปัญหาไม่
แต่เป็นการกลบปัญหา
เมื่อใดเพิกสิ่งใหม่ออก
ย่อมพบปัญหาเดิมเร้นอยู่

ดังนั้น
ยามมีปัญหา
มิควรหนีปัญหา
แต่ควรเผชิญปัญหา
แล้วแก้ไขให้ปราศไป
ด้วยปัญญาอันสุขุมคัมภีรภาพ

ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งในโลกนี้เป็นปัญหาสำหรับคนหนึ่ง
ส่วนอื่น ๆ ในโลกนี้ก็มีปัญหาสำหรับเขาเช่นกัน
ด้วยโลกนั้นมิใช่ปัญหา
แต่ปัญหาคือความคิดในกมลของตนเอง

ขอขอบคุณ คุณ"ศิวโมกข์ ก้องญาณ"
ที่ได้ให้แนวคิดในการแก้ปัญหา

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

ถวายความอาลัยแด่.....สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ.....


...ข้าพเจ้าขอร่วมถวายความอาลัยและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส
ราชนครินทร์ ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สรวงสวรรคาลัย
และทรงสถิตย์ในใจพสกนิกรชาวไทยตลอดไป...